"ทำไมเพื่อนไม่ชอบหนู" เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เด็ก ๆ ชอบถาม ทำไม ทำไม ทำไม เป็นปัญหาที่สร้างความขุ่นเคืองให้เจ้าของคำถามเหลือเกิน เพราะเด็ก ๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุใด ปัญหาจากพฤติกรรมจากเปรียบเทียบ การเลือกที่รักมักที่ชัง ก็สร้างพฤติกรรมที่ไม่น่ารักของเด็ก ๆ ได้นะคะ
เช่น พ่อว่าเพื่อนของหนูคนนี้เรียนเก่งดีนะ ตั้งใจเรียนดีด้วย คำถามในใจของลูก คือ แล้วหนูหล่ะพ่อว่าเก่งมั้ย ทำไมหนูไม่เห็นได้รางวัลเหมือนเพื่อนหล่ะ ตอบไม่ได้หรือ คำตอบในใจของลูก คือ หนูพยายามแล้วเเต่รางวัลมันมีน้อยคะ จากความรู้สึกที่ลูก ๆ ได้รับมาว่าคุณพ่อคุณแม่ชอบแบบไหน เด็กก็พยายามทำตามด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งก็มีทั้งบวกและลบ ทุกคนต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคมแต่ที่เห็นเป็นกลุ่มใหญ่คือ การสร้างการยอมรับด้วยการตั้งกลุ่ม ใครกลุ่มฉัน กลุ่มเธอ แล้วก็ใช้พลังกลุ่มผลักดันการยอมรับต่าง ๆ จากอดีตที่เรายอมรับคนเก่ง คนพยายาม คนมีความมานะ ใครอยากได้รับการยอมรับต้องพยายาม ปัจจุบันกลายเป็นอิจฉา ริษยา พฤติกรรมเหล่านี้เด็ก ๆ สร้างเองไม่ได้คะ ถ้าไม่ได้เห็นและรับรู้จากตัวอย่างรอบตัว คุณครูได้ยกตัวอย่างจากปัญหาของคุณแม่ท่านหนึ่งมาให้ลองอ่านดู แล้วทุกท่านลองดูนะคะว่าลูกเราจะมีความสุขมั้ยในสังคมแบบนี้ มาช่วยกันสร้างบรรยากาศและทัศนคติของการยอมรับสิ่งดี ๆ กันนะคะ
การเป็นเด็กฉลาด เป็นคนเก่งของห้องเรียน เป็นคนพิเศษ โด่นเด่น ในห้องเรียน บางครั้งลูกก็กลายเป็นที่หมั่นไส้ ของเพื่อนๆในห้อง ดังที่มีคำกล่าวว่า ทำตัวดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
แม่ท่านหนึ่งสอนเรื่อง การใช้ชีวิตในห้องเรียนได้น่าสนใจ -เวลาครูถามคำถามในห้องเรียน อย่าเป็นคนเก่งเสียคนเดียว ให้ตอบเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว คำถามอื่นๆ หากรู้ก็ปล่อยให้คนอื่นตอบบ้าง หรือเป็นพรายกระซิบ บอกเพื่อนข้างซ้าย เพื่อนข้างขวา ให้ยกมือตอบ -ถ้าครูถามคำถาม แล้วเราตอบไปแล้ว แต่คำถามต่อไปก็ไม่มีคนตอบ ให้ยกมือแล้วถามครูว่า ขอลองตอบได้มั้ย(ทำเหมือนไม่รู้).แล้วแกล้งตอบผิดไปบ้าง
ท่านสอนลูกว่า คนฉลาดแกล้งโง่ได้ แต่คนโง่นั้นแกล้งฉลาดไม่ได้ ดังนั้นผู้รู้ ยิ่งแสร้งไม่รู้จะได้รู้มากขึ้น ได้มิตรมากขึ้น ส่วนคนที่รู้น้อยแต่ทำเป็นรู้มาก จะไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นและพาลจะมีคนเกลียดชัง หมั่นไส้ ถ้าเรียนเก่งแต่มีแต่คนรังเกียจนั้น จะไม่มีความสุขในวัยเรียน เพราะไม่มีมิตร
เอาความรู้ที่เรามี ไว้เตรียมตัวเพื่อใช้ในการทดสอบ วัดความรู้ความสามารถของตัวเอง ตอนสอบ อย่าหวงความรู้ แต่จงขวนขวายหาความรู้ แบ่งปันผู้อื่น ช่วยสอนเพื่อนที่ไม่รู้ให้เข้าใจ ยิ่งทบทวนกับตัวเองกับเพื่อนมากเท่าไหร่ ยิ่งได้ฝึกฝน ยิ่งชำนาญแต่อย่าให้เพื่อนลอก เพราะเป็นสิ่งผิด ไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และทำให้เพื่อนยิ่งไม่รู้ -อย่าทำให้เพื่อนอับอาย ถ้าเพื่อนตอบผิด อย่าหักหน้าเพื่อนในห้องเรียน หรือหากเพื่อนให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ให้เก็บไว้บอกเพื่อนทีหลัง -อย่าเอาเปรียบเพื่อน เช่นถ้าต้องทำเวรทำความสะอาด อย่าเลือกแต่งานเบา ให้ผลัดเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม และช่วยเหลือเพื่อนคนอื่นๆ จนกว่าจะเสร็จ
ไปโรงเรียน หวังให้ลูกได้ความรู้ คู่กับมิตรสหาย และท้ายที่สุด ต้องมีความสุขด้วย
มิตรภาพในวัยเรียนสวยงาม เพื่อนสำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้ เพราะในชีวิตจริงที่ความรู้แก้ปัญหาให้เราไม่ได้ เพื่อนช่วยแก้ได้ และถึงแม้เพื่อนช่วยแก้ไม่ได้ เพื่อนก็เป็นกำลังใจให้ได้ ถ้าลูกของเรามีกลุ่มเพื่อนที่ดี ลูกเราก็คงมีความสุขในการเรียนและประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่เราคงเลือกเพื่อนให้ลูกไม่ได้ก็คงต้องสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้ลูกปรับตัวให้ได้ในทุกสถานการณ์ ^^
|