![]() |
|
Home | หลักสูตร | กิจกรรมประจำวัน | ติวสาธิตครูจอย | Contact | English Version | School Blog |
มือของหนู ... เปิดประตูสู่โลกกว้าง | |||
มือคือครูที่สำคัญโดย: คำแก้ว ไกรสรพงษ์ "มือ" อวัยวะสำคัญ เครื่องมือเปิดประตูสู่โลกการเรียนรู้ ลองนึกดูง่ายๆ นะคะ มนุษย์เมื่อเกิดมามีอวัยวะครบ 32 เราสามารถคาดเดาได้ว่า จะเดินได้แน่นอน และก็เดินได้ด้วยวิธีการเดียวกันทุกคน แต่สำหรับการใช้มือ ไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่ามนุษย์จะใช้มือของตนทำอะไรกันบ้าง ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเด็กเล็ก ๆ เมื่อโตขึ้นจะมีทักษะความสามารถ และอนาคตเป็นอย่างไร เขาจะเติบโตเป็นหมอผ่าตัด เป็นจิตรกร นางรำ สถาปนิก หรืออื่นๆ ![]() เมื่อเด็กสามารถพูดคำแรกได้แล้ว พ่อแม่ทุกคนจะรู้สึกปลาบปลื้ม หลายคนชี้ชวนลุกคุย เพื่อขยายคำพูดของลูกให้พรั่งพรูมากขึ้น การกระตุ้นทำนองนี้แหละค่ะ ที่อยากให้นำมาใช้เมื่อเด็กมีการริเริ่มใช้มือน้อยๆของตัวเขาเอง ในการปฏิบัติงานหรือกิจกรรมใดๆ ด้วย เด็กควรได้รับการส่งเสริมและกระตุ้นให้มีโอกาสใช้มือฝึกทำงานได้คล่อง แคล่ว เพื่อให้พัฒนาการเรียนรู้ หรือพัฒนาการทางสติปัญญาได้พัฒนาอีกต่อหนึ่ง โดยจัดเตรียมสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เหมาะสมไว้ให้ เพียงเปิดโอกาสตรงนี้ บางทีผู้ใหญ่อาจคาดไม่ถึงว่าเด็กเล็กๆ ก็สามารถทำได้อย่างน่าทึ่ง ตรงกันข้าม ก็มีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจจิตวิทยาพัฒนาการของเด็ก จึงทำให้เด็กเล็กๆ ในวัยที่กำลังเรียนรู้ถูกปิดกั้นการเรียนรู้ เพราะในขณะที่เด็กกำลังต้องการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ ก็มักจะถูกผู้ใหญ่ห้ามปราม หรือถูกเอ็ด เช่น เด็กจะเรียนรู้ว่าการหยิบจับหรือสัมผัสอะไรก็ตามเมื่อมีความสนใจอยากรู้อยาก เห็นเป็นสิ่งไม่ดี และการพยายามเรียนรู้หรือสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เรียกว่า ซน และจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ นอกจากนี้ผู้ใหญ่ยังปฏิเสธที่จะให้เด็กเล็ก ๆ ช่วยเหลือเช่น งานบ้านเพราะมีความรู้สึกว่าเด็ก ยุ่ง และจะทำให้งานที่ผู้ใหญ่ต้องการทำให้เสร็จเร็วๆ นั้นยิ่งช้าลง เด็กบางคนท้อถอยและเลิกล้มความพยายามที่จะ ช่วย ผู้ใหญ่ทำงานแล้วหันไป เล่น แทน ในขณะที่เด็กบางคนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ คือ การได้ช่วยเหลือและได้มีส่วนร่วม ผลที่ตามมาก็คือ เด็กจะเรียนรู้อย่างผิดๆ ว่า การจะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้นเขาจะต้องต่อสู้และแสดงความก้าวร้าว สิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้นก็จะมีแต่ การสูญเสียกับการสูญเสีย คือสูญเสียทั้งผู้ใหญ่ และทั้งเด็ก ผู้ใหญ่สูญเสียความรู้สึกดีๆ ที่พึงมีให้กับเด็กในการได้เห็นเด็กช่วยงาน แต่กลับรู้สึกหงุดหงิดเด็ก และผู้ใหญ่ยังสูญเสียการจะได้เห็นพัฒนาการของมนุษย์ตัวน้อยๆ ที่กำลังจะมีขึ้น สำหรับเด็กนั้น เด็กสูญเสียโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือและเลียนแบบผู้ใหญ่ สูญเสียความรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือครอบครัว สูญเสียโอกาสที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง และสิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กจะมีความรู้สึกเป็น ลบ กับตนเอง ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง และไม่เห็นคุณค่าของตนเอง เพราะเขาจะพยายามทำตามสิ่วที่ผู้ใหญ่ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับเขา ให้มีความพึงพอใจในตัวเขาคือ การ นั่งนิ่งๆ เก็บมือไว้ และ ไม่หยิบจับหรือแตะต้องอะไรเลย ซึ่งดูแล้วเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนัก นอกจากพ่อแม่จะมีบทบาทสำคัญกับการใช้ มือ ของเด็กแล้ว เมื่อเด็กย่างเข้าขวบปีที่ 3 ต้องเข้าไปอยู่ในโรงเรียนอนุบาล ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กอยากรู้อยากเห็น อยากสำรวจหยิบจับสิ่งต่างๆ รอบตัว คุณครูจึงควรได้รับการฝึกมาอย่างดี และมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่จะช่วยเหลือเด็กได้พัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง และด้วยวิธีการที่สอดคล้อง มีพ่อแม่และครูจำนวนไม่น้อยที่มองข้ามเรื่องการดูแลทางด้านจิตใจหรือส่ง เสริมพัฒนาการซึ่งมีอยู่ภายในให้กับเด็ก เช่น การส่งเสริมให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถตัดสินใจได้เอง แก้ปัญหาได้เอง ฯลฯ แต่กลับให้การดูแลเลี้ยงดูอย่างสมบูรณ์ทางด้านร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การออกกำลังกาย หรือการพักผ่อน ทำให้เด็กเกิดอาการหิวโหยที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์ จากภายนอก ในสังคมเราจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีร่างกายสมบูรณ์ แต่ทว่ามีความพิการทางใจ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูในวัยเด็ก ดังนั้น การให้เด็กได้มีโอกาสหยิบจับ สัมผัส และสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวจึงมีความสำคัญ เพราะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเรียนรู้ของเด็ก มือคือของขวัญอันล้ำค่า มือของมนุษย์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับจิตวิญญาณ เพราะสามารถแสดงออกซึ่งความคิดความรู้สึกของมนุษย์เอง โดยเราสามารถดูได้จากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นในประวัติศาสตร์ และเก็บไว้เป็นหกลักฐานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ทำให้เราเห็นถึงพัฒนาการของความเจริญและอารยธรรมที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น โดยเราสังเกตได้จากกำแพงเมืองจีน ปิระมิดในประเทศอียิปต์ ทัชมาฮาลในประเทศอินเดีย วัดวาอารามในสมัยสุโขทัยและอยุธยา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่มนุษย์คิดและรู้สึก โดยจิตวิญญาณนั้นออกมาเป็นสิ่งต่างๆข้างตนเป็นหลักฐานให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ล่วงรู้ถึงความในใจนั้นๆ ซึ่งหากมนุษย์ใช้เพียงคำพูด เพื่อการสื่อสารความคิดและความรู้สึก โดยไม่ได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน ความเฉลียวฉลาด ของมนุษย์จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาพูดเพียงอย่างเดียว ร่องรอยของความคิดความรู้สึกในอดีตก็จะไม่หลงเหลือ ให้เรารุ่นลูกรุ่นหลานได้รับรู้เลย เราจึงต้องขอบคุณมือ ซึ่งมีความสัมผัสโดยตรงกับจิต ความคิด และความรู้สึก และสามารถช่วยถ่ายทอดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้พวกเรารุ่นหลังได้ศึกษาเพื่อพัฒนาต่อไป มือจึงเปรียบเสมือนของขวัญอันล้ำค่าที่เราได้รับมาเป็นมรดกตั้งแต่เกิด หนังสืออ้างอิง Wilson , R Frank .The Hand .New York : Vintage Books A Division of Random House ,inc 1988 Montessori ,Maria . The Absorbent Mind .Translated from the Italian by Claude A.Claremont in 1958 .New York : Dell Publishing Co.,Inc.,1984 Montessori ,Maria . The Discovery of the Child .Translated by M.Joseph Costelloe ,S.J. New York :Ballantine Books ,1972 Montessori ,Maria . The Secret of Childhood .Translated by M.Joseph Costello ,S.J.New York Ballentine Book ,1989 Montanaro , Silvana Quattrocchi .Understanding the Human Being : The Important of the First Three Years of the Life .U.S.A : NIENHUIS Montessori ,1991
| |||
ผู้ตั้งกระทู้ Admin :: วันที่ลงประกาศ 2009-08-20 23:52:55 IP : 124.122.176.232 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1975924) | |||
ขีดๆ เขี่ยๆ ก็มีความหมายโดย: ซอมพอ
อยู่ๆ ผนังบ้านก็เต็มไปด้วยจิตรกรรมจากสีเทียนในมือจิตรกรน้อย
"ตายแล้วผนังบ้านเลอะไปหมด" "โอ๊ย! โต๊ะใหม่ๆ ก็เปรอะไปด้วยรอยขีดเขี่ยอะไรไม่รู้"
18 เดือน
ถ้าจับดินสอ หรือปากกาได้เมื่อไร หนูจะขีดเขี่ยริ้วรอย เส้นสายต่างๆลงบนกระดาษทันที รอยที่ว่าก็สั้นบ้าง ยาวบ้าง เฉียงบ้าง ตรงบ้าง สนุกกับการขีดเขี่ยไปเรื่อยโดยตาไม่ได้มองที่กระดาษ หรือไม่ได้สนใจว่าไอ้เจ้าพื้นที่ขีดเขี่ยจะใช่กระดาษหรือเปล่า เพราะมันอาจจะเป็นฝาผนัง โต๊ะ เก้าอี้ (นี่แหละสาเหตุที่ทำให้แม่บ่น) 2 ขวบ
หรืออีก 6 เดือนถัดมา เมื่อผ่านการขีดเขี่ยแบบอิสระในระยะแรกมาแล้ว ทีนี้ละหนูจะเริ่มค้นพบว่าหนูก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหว กับรอยที่ขีดเขี่ยบนกระดาษได้ แม้ว่าผลงานอาจจะดูไม่ต่างจากระยะแรกเท่าไร แต่การมองที่ประสานกับมือขีดเขี่ย ทำให้ภาพเต็มไปด้วยพลัง เพราะมีการเขียนเส้นได้หลายๆ แบบ 3 - 3 1/2 ขวบ
หนูจะสนุกสนานกับการเคลื่อนไหวควบคู่ไปกับการได้ใช้จินตนาการ และเริ่มตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ขีดเขียนออกมา เช่น ตัวหนูกำลังนอน แม่ จากภาพที่วาดเป็นเส้น ก็เป็นวงกลม สี่เหลี่ยม กากบาท และจุด ปนเปกัน 3 1/2 - 4 ขวบ
แม้ส่วนประกอบรูปคนที่วาดอาจจะไม่ครบ คือยังไม่มีลำตัว มีแต่ขา กับแขนแตกแขนงออกมาจากด้านข้างใบหน้าด้านข้าง และด้านล่าง แต่ก็วาดอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง 4 - 5 ขวบ...รูปวาดของหนูเริ่มมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถูกต้องนัก เพราะหนูยังไม่รู้จักนับจำนวน พอวาดรูปคนก็อาจจะมีนิ้วมากกว่า หรือน้อยกว่า 5 นิ้ว หรือถ้าวาดรูปบ้านก็จะมีหน้าต่างเต็มไปหมด 5 - 6 ขวบ...หนูจะวาดยุ่งเหยิงมากขึ้น ในลักษณะเป็นรูปสัญลักษณ์มากกว่าจะเป็นรูปจริง เช่น วาดรูปบ้าน ก็อาจจะมีแค่หน้าต่างกับประตู (ถ้าอาศัยอยู่ในตึกแถวหรืออพาร์ตเมนต์) หรือถ้าวาดผู้ชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็จะวาดเก้าอี้ โดยมีผู้ชายคลุมเก้าอี้ทั้งหมดไว้ แล้วพัฒนาการของหนูก็มีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงคุณพ่อคุณแม่ช่วยสนับสนุน จัดเตรียมวัสดุให้ ไม่ว่าจะเป็นสีเทียนแท่งใหญ่ สีน้ำ พู่กันเบอร์ใหญ่ๆหน่อย และที่ขาดไม่ได้คือกระดาษ เท่านี้หนูก็ไม่สนผนังบ้านแล้วล่ะจ้ะแม่จ๋า
| |||
ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2009-08-20 23:53:48 IP : 124.122.176.232 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2106732) | |
how to put hair extensions jessica simpson hair human hair wigs Trying to change the wigs with nylon bristles remi hair long wig. | |
ผู้แสดงความคิดเห็น aqua (editha-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-10 18:50:14 IP : 125.126.157.28 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
![]() |
Visitors : 685318 |