ดนตรี เป็นศิลปะแห่งเสียงที่มนุษยชาติได้บรรจงสร้างสรรค์ขึ้นไว้ นับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้ยินเสียงจากธรรมชาติและพยายามลอกเลียนเสียง จนกระทั่งสร้างเสียงดนตรีขึ้นได้เสียงดนตรีอยู่คู่กับมนุษย์มาโดยตลอดไม่ว่าชนชาติใด ภาษาใด ความเชื่อทางศาสนาใด ดนตรีสามารถเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ อันแสดงถึงความเจริญทางจิตใจและอารยะธรรมของมนุษย์ชนชาติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
การศึกษาดนตรีในปัจจุบันได้รับการยอมรับให้เป็นวิชาหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์พบว่า ดนตรีมีผลต่อการพัฒนาสมองเด็ก เนื่องจากในสมองมีสารเคมีบางตัวที่มีผลต่อความรู้สึก ความจำ การเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ เราเรียกสารนี้ว่า สารสื่อสัญญาณในสมองNeurotransmitter) ได้แก่ สารเพื่อเกิดการกระตุ้น(excitatory)และสารเพื่อการยับยั้ง(inhibitory)สารเคมีทั้ง 2 ชุดนี้ ช่วยทำให้เด็กมีความตั้งใจ สนใจการเรียนรู้ มีสมาธิ สารเคมีนี้จะหลั่งมากเมื่อมีเด็กมีกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย การได้รับคำชมเชย การเล่นเป็นกลุ่ม การร้องเพลง การได้รับการสัมผัสที่อบอุ่น การเล่นดนตรีและการเรียนศิลปะโดยไม่ถูกบังคับ กระบวนการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสุขเกิดจากความสมดุลของสมองทั้งสองซีก เมื่อสารเอนโดฟีน (endophine) หลั่งออกมาทำให้เด็กมีความสุข เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ของการเรียนรู้ที่มีคุณค่า ถ้าสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้กระตุ้นให้เด็กมีความเครียด กดดัน แข่งขันเพื่อเอาชนะ จะเป็นสารแอนดรีนาลีน (adrenalin) ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่ไม่พึงปรารถนา และสร้างความทรงจำที่ไม่ดีให้กับเด็ก
แนวคิดของความจำเป็นในการเรียนดนตรีสำหรับเด็กได้รับสำคัญมากขึ้นด้วยทฤษฎีความหลากหลายของสติปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ซึ่งโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) ได้ศึกษาและจำแนกความเก่งของคนไว้ 7 ประการหลัก ได้แก่ 1.ด้านภาษา (verbal/linguistic) 2.ด้านดนตรี/ จังหวะ(musical/rhythmic) 3.ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (logical/ mathematical) 4.ด้านการเคลื่อนไหว (body/kinesthetic) 5.ด้านศิลปะ/มิติสัมพันธ์ (visual/spatial) 6.ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล/การสื่อสาร (interpersonal) 7.ด้านความรู้สึก/ความลึกซึ้งภายในจิตใจ (intrapersonal) ความเก่งหรือความสามารถนี้มีรูปแบบการพัฒนาเฉพาะตัว มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสังคมและวัฒนธรรม แนวคิดนี้แตกต่างไปจากเรื่องIQหรือ ความฉลาด ซึ่งความเชื่อดั้งเดิมถือว่า ความฉลาดวัดได้จากการทดสอบในเด็กเพียงบางวิชา เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ แต่ปัจจุบันคำจำกัดความ ว่าฉลาด เก่ง พรสวรรค์ ได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังเช่น -นักกีฬาชื่อดัง เช่น ภราดร ศรีชาพันธ์ หรือ -นักดนตรีอย่าง วาเนสซ่า เมย์ ก็ถือได้ว่าเป็นอัจริยะทางด้านต่าง ๆที่เขาและเธอถนัด ซึ่งสามารถทำได้ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปและเมื่อเรามองถึงภูมิหลังของบุคคลอัจฉริยะทั้งหลายจะพบว่า เขาเหล่านั้นไม่ได้บังเอิญเกิดมาเก่งเพียงอย่างเดียวแต่ได้รับการส่งเสริมอย่างถูกต้องและต่อเนื่องมาตั้งแต่เยาว์วัย จากครอบครัว พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครู อาจารย์ โรงเรียน และสังคม ที่เอื้อหนุนให้ความเก่งของเขาเพิ่มพูนขึ้น จนสามารถเปลี่ยนความถนัดให้เป็นความสามารถพิเศษได้ ความสามารถพิเศษทางดนตรีของมนุษย์ เป็นศักยภาพที่พบมากในคนที่เล่นดนตรี ศิลปินดนตรี นักแต่งเพลง ผู้ควบคุมวง ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน นักร้อง นักเต้นรำ ซึ่งบุคคลพวกนี้มีทักษะทางดนตรีในขั้นพิเศษกว่าคนทั่วไป เช่น เมื่อฟังเพลงแล้วสามารถจับจังหวะได้ สามารถบอกระดับเสียง เขียนเป็นโน้ตดนตรี ตีความบทเพลง รับรู้พลังของดนตรี ซึ่งบุคคลทั่วไปอาจฟังแค่เพลงนั้นไพเราะหรือถูกใจเพียงผิวเผิน แต่อย่างไรก็ดี ความสามารถทางดนตรีย่อมพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน เช่น หัดเล่นดนตรี ร้องเพลง อ่านโน้ต ฟังเพลงมาก ๆ การฝึกฝนทางด้านดนตรีที่ดี ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจ มีความอยากเรียนด้วยตนเอง มีความสุขเมื่อได้ทำกิจกรรมดนตรี มีความต้องการแสดงออกทางดนตรี ดังนั้น พ่อ แม่ ผู้ปกครองควรสร้างรากฐานแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กยังเล็ก ดังเช่นคำพูดที่ว่า กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว เพราะว่าในช่วงแรกของชีวิต เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เด็กที่ได้รับการเตรียมพร้อมโดยพ่อแม่ ก่อนการเข้าเรียนในโรงเรียนย่อมได้เปรียบเด็กอื่น ๆ ที่มีกิจกรรมที่บ้านด้วยการดูโทรทัศน์ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การเรียนดนตรีก็เช่นเดียวกัน มีผู้ปกครองส่วนมากที่เข้าใจกันว่า เมื่อส่งลูกเข้าเรียนพิเศษในโรงเรียนดนตรีก็หวังว่าจะให้เด็กประสบความสำเร็จทางดนตรีเช่นเดียวกับ โมซารท์ (Mozart) คีตกวีเอกของโลก แต่ไม่ได้สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ดนตรีที่บ้าน เช่น การเปิดเพลงให้ฟัง การพาเด็กไปชมการแสดงดนตรี ซึ่งหมายถึงประเภทของดนตรีที่ฟังด้วย เพราะดนตรีที่ส่งเสริมความคิดที่ดีต้องเป็นดนตรีที่กลั่นกรองมาดี เช่น ดนตรีคลาสสิก หรือ ดนตรีพื้นบ้าน ดนตรีไทย ดนตรีที่ไม่ได้รับการปรุงแต่งด้วยเทคโนโลยีจนผิดธรรมชาติ มีงานวิจัยทางดนตรีหลายชิ้นในต่างประเทศพบว่า ถ้าเด็กทารกได้ฟังเพลงคลาสสิกที่คัดสรรแล้ว เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีพัฒนาการทั้งร่างกายและสมองเร็วกว่าเด็กปรกติ คือ ความสามารถทางการได้ยิน การใช้กล้ามเนื้อ การพูด การอ่าน ความมีสมาธิ การตอบสนองโดยทั่วไปดีกว่าเด็กปรกติ งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่มีชื่อเสียงมีชื่อว่า Mozart Effect ซึ่งนำเอาบทประพันธ์ของคีตกวีโมซาร์ทมาทดลองให้เด็กฟัง และสรุปบางตัวอย่างบทเพลงที่ควรให้เด็กฟัง ได้แก่ Divertomento K 136 ,Opera(Don Giovanni)-Deh Vieni Alla Finestra , Quintet for clarinet A Major K 581-2nd Movement , Sonata for 2 pianos D major K 448-2nd Movement ฯลฯ ผลงานนี้มีขายทั่วไปและได้ทำทั้งรูปแบบ CD และ DVD ซึ่งมีภาพการ์ตูนประกอบบทเพลงให้เด็กได้ฟังเพื่อความเพลิดเพลินด้วย ผู้เขียนเคยเห็นผลงานเหล่านี้บางส่วนมีขายในศูนย์การค้าในประเทศไทยแล้วด้วย ดังนั้นสิ่งแรกที่พ่อ แม่ ควรเริ่มก่อนการส่งเด็กเข้าเรียนดนตรี นั่นคือ การสร้างสภาพแวดล้อมทางดนตรีที่ดี ด้วยการฟังดนตรีที่ดีตั้งแต่วัยทารก นักวิชาการบางท่านเชื่อว่า ควรฟังดนตรีตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์มารดาด้วยซ้ำไป
อัพเดตโดย : ครูกิ๊บ
|