"ไม่ว่าเมื่อไหร่ลูกก็ใหญ่ที่สุดในบ้าน ยิ่งเราเปิดโอกาสให้ลูกเลือกมาเเค่ไหนยิ่งดื้อ ยิ่งไม่ฟัง" มีบ้านไหนเกิดปัญหาตรงนี้บ้านคะ จริง ๆ แล้วการที่เราจะเปิดโอกาสให้ลูกมีความคิดเป็นของตนเอง คุณพ่อคุณแม่และที่บ้านต้องเปิดใจด้วยคะ เราต้องยอมรับที่ใจ ปัญหาที่เกิดส่วนมากเกิดจากรูปแบบการเลี้ยงดูของคนเอเชียที่ลูกต้องเชื่อฟัง ต้องทำตาม ใจครึ่งนึงอยากให้ลูกกล้าแสดงออก แต่อีกครั้งนึงก็รับไม่ได้ที่ลูกแสดงออกมากเกินไป เราจึงต้องมาคุยกันที่ขอบเขตของความกล้าแสดงออกกัน คุณพ่อคุณแม่เปิดโอกาสให้ลูกคิด และตัดสินใจได้ แต่ต้องมีลิมิตที่ว่าลูกก็ต้องรับฟังและยอมรับความคิดของคุณพ่อคุณแม่เช่นกัน และที่สำคัญคนที่จะตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรท้ายที่สุดหลังจากปรับให้มีการยืดหยุ่นแล้วควรเป็นคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ที่ดูแลคะ (มาตราการนี้ใช้ได้ผลในกรณีของเด็กเล็กถึงประถมปลายเท่านั้นนะคะ โตกว่านี้ก็ต้องพิจารณาไปตามแต่ละบุคคล)
ทำไมคุณครูถึงระบุช่วงวัยแค่เด็กเล็กถึงประถม เพราะเด็กกลุ่มนี้เริ่มมีความคิดเป็นของตนเองคะ แต่ยังเลือกถูก- ผิด ควร-ไม่ควร ไม่เป็นคะ สิ่งที่เลือกเกิดจากความต้องการล้วน ๆ ไม่ว่าจะผิด ถูก หรือควร ไม่ควร ถ้าหนูต้องการนั้นคือสิ่งที่ใช่ ดังนั้นเราจึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้บอกและแสดงความต้องการ เพื่อสอนให้รู้จักเลือกในสิ่งที่สมควร
|
...ปัญหาที่ตามมา คือ คุณพ่อ คุณแม่
คุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่าการพูดคุย สื่อ กับลูกเป็นเรื่อง ไม่ง่าย คุณพ่ออยากจะบอก อยากจะสั่งสอนเขา แต่มันดูราวกับคุณต้องพูดข้ามผนังห้องหรือผ่านกำแพงกั้น ลองทบทวนวิธีการที่คุณใช้อยู่ กับวิธีการเหล่านี้
ประตูใจ ใช้กุญแจดอกไหนเปิดดีสิ ...
วิธีการที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสื่อสาร ให้ความเห็นว่าเป็นวิธีการที่ใช้เป็น กุญแจ ที่จะช่วยทำให้เด็ก เปิดใจ และยอมเล่าความรู้สึกนึกคิดที่เขาเก็บอยู่ ภายในกับผู้ใหญ่ได้ คุณพ่อคุณแม่อาจลองฝึกเรียนรู้ที่จะใช้คำพูดบางคำ หรือบางประโยคให้เหมาะ ที่จะใช้สื่อกับลูกของคุณเองซึ่งจะช่วยให้ลูกแบ่งปันความรู้สึกของเขาให้คุณรับรู้ได้ ลองประยุกต์ใช้วิธีการเหล่านี้ เพื่อสร้างความใกล้ชิดและเสริมบรรยากาศแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันเพราะนั่นเป็นกุญแจดอกสำคัญ ของการสื่อสารในครอบครัว
กุญแจดอกที่หนึ่ง :B เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ฟังที่ดี ใช้เวลาในการฟังโดยไม่ขัดจังหวะหรือขัดคอลูก รอฟังให้เขาพูดจบเสียก่อนจึง ค่อยตอบสนอง
กุญแจดอกที่สอง :B แสดงออกให้ลูกรู้ว่าคุณกำลังฟังเขา มองหน้า สบตากับลูกเวลาที่ลูกพูด นั่งให้อยู่ระดับเดียวกับเขาโดยอาจนั่งข้าง ๆ
กุญแจดอกที่สาม : หาจังหวะดี ๆB เวลาคุย เลือกเวลาที่จะคุยกับลูก ในขณะที่เขาผ่อนคลายและให้เวลากับคุณได้เต็มที่ และเป็นเวลาที่คุณเองก็สามารถคุยกับเขาได้โดยไม่มีอะไรคอยมาดึงความสนใจของคุณอยู่ด้วยเช่นกัน
กุญแจดอกที่สี่ : ใส่ใจกับสีหน้า ท่าทางที่ลูกแสดงออก เรียนรู้ว่าลูกกำลังรู้สึกอย่างไรจากภาษากาย ท่าทางที่เขาแสดงออก สังเกตว่าลูกยิ้มหรือหน้านิ่ว ดูผ่อนคลายหรือตึงเครียด
กุญแจดอกที่ห้า :B เข้าใจให้กระจ่างชัด พยายามทำความเข้าใจคำพูดของลูก คุณอาจทวนถามซ้ำเพื่อเพิ่มความเข้าใจหรือเพื่อช่วยยืนยันว่าคุณเข้าใจคำพูดของเขาได้ถูกต้องแล้ว
กุญแจดอกที่หก : เลี่ยงการเทศนา อย่าด่วนแสดงความเห็นหรือถามคำถามที่เป็นการตัดสินพฤติกรรมของลูก แต่ช่วยให้เขาได้คิดหาคำตอบหรือหาทางออกด้วยตัวเขาเองจะเหมาะกว่า
คำพูดช่วยเปิดใจ
แทนที่คุณจะพูดหรือถามลอย ๆ ว่า เป็นไงล่ะวันนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจถามพุ่งประเด็นไปให้ชัดเจนในเรื่องสำคัญที่เกิดกับลูก เช่น ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างกับการสอบเลขวันนี้ (หรือ เหตุการณ์สำคัญใด ๆ ที่เกิดกับเขาวันนี้)
แทนที่จะถามว่า มีอะไรหรือเปล่า คุณอาจถามให้เจาะจงมากขึ้นและสื่อให้เขารู้ได้ว่าคุณสนใจเขาอย่างแท้จริง เช่น วันนี้ลูกดูร่าเริงเป็นพิเศษ (หรือโกรธ หงุดหงิด ฯลฯ) เหมือนมีอะไรบางอย่าง ?
แทนที่จะบอกว่า ถ้าแม่ (หรือพ่อ) เป็นลูกนะ
ใช่
คุณอาจจะอยากแบ่งปันประสบ-การณ์หรือเสนอแนะกับเขา แต่คุณก็อาจหาคำพูดที่มันดูเป็นการเลคเชอร์น้อยกว่านี้สักหน่อย เช่น แม่ (หรือพ่อ) เข้าใจดีว่าลูกลำบากใจที่
แล้วรอจนลูกถามถึงข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นของคุณ
แทนที่จะบอกว่า แม่คิดว่าลูกควรจะ
คุณก็ลองปล่อยให้เขาได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง เช่น ลูกคิดอย่างไรบ้างกับเรื่อง
เด็กหลายคนพอใจที่จะได้แสดงความคิดเห็นและรับรู้ว่าผู้ใหญ่ก็รับฟังความคิดเห็นของเขา
แทนที่จะบอกว่า เมื่อพ่อ (หรือแม่) อายุเท่าแกนะ
คุณก็อาจช่วยให้ลูกหันมองสถานการณ์ที่เขาเกี่ยวข้องอยู่ตอนนี้ เช่น แล้วลูกคิดว่าลูกจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรต่อไปบ้าง หรือคำถามอื่น ๆ ที่เหมาะสม ซึ่งช่วยให้เขาได้หัดคิดวิเคราะห์ประเด็นที่เป็นปัญหาเพื่อหาทางออก
แม้ว่าการคุยกับลูก โดยเฉพาะเมื่อลูกเข้าวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณหัดใช้กุญแจและคำพูดเปิดใจที่เหมาะสมในครอบครัวของคุณบ่อย ๆ การคุยกับลูกก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก และอย่าลืมว่าท่าทีที่รับฟัง พร้อมจะตอบสนองด้วยความปรารถนาดี ไม่ว่าใครที่มีเรื่องไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็อยากเปิดประตูออกไปหาด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่หรื
|
โดย : สุวัฒนา ศรีพื้นผล : สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
| |
|