ReadyPlanet.com


" แก่แดดจริงนะเรา " เคยไหมคะที่ผู้ปกครองหมั่นไส้เจ้าตัวน้อยเช่นนี้
avatar
Admin


แก่แดดจริงนะ ตัวแค่เนี้ย


โดย: รันตี

แก่แดด ไม่ใช่เรื่องขมๆ แต่เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กอนุบาล

จำได้ว่า วันหนึ่งแม่ลูกสาวตัวน้อยนั่งจ้องอยู่หน้าทีวี ตาแป๋วเชียว ตอนนั้นดิฉันเปิดดูรายการผู้หญิง ช่วงหนึ่งของรายการเป็นแฟชั่นโชว์ เดินแบบ ดูเสร็จปั๊บ แกรีบไปค้นตู้ เสื้อผ้าทันที ลากเอาชุดทั้งหมดที่มีออกมา แล้วสมมติว่าตัวเองเป็นนางแบบ ลองสวมชุดนั้น เปลี่ยนชุดนี้ ทั้งใส่หมวก โพกผ้า ผูกผม เดินไปมา หมุนแล้วหมุนอีก

แล้ว ไม่ใช่แค่เหตุการณ์นี้เหตุการณ์เดียว วันไหนถ้าแกเปิดเจอรายการสวยๆงามๆปั๊บ อาทิ โฆษณาลิปสติก ครีมทาผิว ทาหน้า แกจะรีบแอบเอาลิปสติกมาทาปาก หรือไม่ก็หยิบครีมทาหน้ามาทาตัว มั่วไปหมดในใจนั้นนึกขำค่ะ แต่ยังอดกังวลไม่ได้..เอ ! ลูกเราจะแก่แดดเกินไปหรือเปล่านี่
    
ยัง ยังไม่หมด วันต่อมา และต่อๆมา ถึงเวลาที่แกต้องไปโรงเรียนเป็นครั้งแรก กังวลไปสารพัดอีกค่ะ กลัวลูกแผลงฤทธิ์ร้องไห้กลับบ้าน แต่ปรากฏว่าผิดคาด เพราะคุณครู มาเล่าให้ฟังว่าลูกเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิด ขณะที่เพื่อนๆร้องไห้กันกระจองอแง เจ้าตัวดีกลับทำเสียงเข้มดุเพื่อนๆ ว่า "เพื่อนๆ เงียบกันได้แล้ว..ไม่เห็นเหรอ คุณครูจี๋เหนื่อยแล้วนะ" โอ้โฮเฮะ แบบนี้ถือว่าแก่แดดแก่ลมเกินงามไปอีกหรือเปล่า

เข้าใจ"ความแก่แดด"ของหนู

ตัวกระเปี๊ยกแค่เนี้ย วัยยังไม่พ้นอนุบาลด้วยซ้ำ แต่การกระทำและคารมเหลือร้าย จนชักสงสัยว่าเอ๊ะ เราไม่ได้สอนลูกซักอย่าง แล้วลูกไปเอาความแก่แดดแก่ลมนี้มา จากไหน เรื่องนี้หาคำตอบได้ไม่ยากค่ะ เพราะผศ.พญ.สุวรรณี พุทธิศรี คุณหมอจิตเวชเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี จะมาไขข้อข้องใจให้ฟัง ซึ่งทางที่ดีคุณหมอบอกว่าต้องย้อนกลับไปดู พัฒนาการของเด็กวัยนี้กันก่อน เมื่อนั้นเราจึงจะเข้าใจที่มาที่ไปของพฤติกรรมแก่แดดยิ่งขึ้น
    
"คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ชัดว่าลูกมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้นในทุกด้าน ร่างกายเคลื่อนไหวได้คล่อง ไม่เพียงแค่กระโดด เดิน หรือวิ่งได้อย่างเดียว แต่ยังสามารถทำ อะไรแผลงๆ เช่น เดินขาเดียว ถอยหลัง เดินบนราวทรงตัว ด้านถ้อยคำ ภาษา ก็รู้จักใช้รู้จักพูดมากขึ้น จากเดิมก่อนหน้านี้เขายังพูดได้ไม่มาก พอพูดได้ เขาก็จะอยากลอง อยาก เล่นคำ เห็นได้ชัดจากการตั้งคำถามประเภท อะไร ทำไม หรือการใช้ภาษาแปลกๆ เช่น เคยเรียกพี่แดงว่าพี่แดง ก็เปลี่ยนมาเรียกแดงเสียเฉยๆ เด็กจะลองพูดไปเรื่อยๆ ซึ่ง สัมพันธ์กับพัฒนาการทางภาษาของเขา

และวัยนี้จะเริ่มรู้แล้วว่าเขาเป็นเพศอะไร จึงเริ่มสนใจอวัยวะเพศของตนเอง และของคนอื่น ผู้ใหญ่ก็มองว่าเด็กคนนี้ทะลึ่ง แต่ความจริงไม่ใช่ พอเด็กรู้แล้วว่าตนเองเป็น เพศอะไร เช่น ถ้าเป็นผู้หญิง เขาจะเริ่มมีจริตจะก้านแบบผู้หญิง ผู้ชายก็จะเริ่มมีลักษณะของผู้ชาย ในวัยนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะร่างกาย หรือทักษะอื่นเท่านั้นที่เติบโตรุดหน้า แต่จิตใจ และสมองก็เติบโตตามไปด้วย ความคิดเขาพัฒนา คือเริ่มรู้แล้วว่าทำแบบนั้นมันจะได้อย่างนั้น เริ่มรู้เหตุรู้ผลมากขึ้น เขาก็จะเริ่มเลียนแบบ"

การเลียนแบบตรงนี้ แหละ ที่นำมาโยงเข้ากับพฤติกรรมแก่แดดของเด็กได้พอดิบพอดี นั่นคือที่เรามองว่าเด็กแก่แดดนั้น จริงๆแล้วมันเกิดจากการเลียนแบบของเด็กค่ะ ว่า แต่เด็กเลียนแบบจากอะไรบ้าง กรณีนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน
    
1.เลียนแบบจากคน โดยเฉพาะคนใกล้ชิดเด็กมากที่สุด นั่นคือ พ่อแม่ ครู เพื่อน ญาติพี่น้อง ยกตัวอย่าง เด็กหลายๆคนเดิมไม่เคยแลบลิ้น หรือพูดคำหยาบ พอเข้าโรงเรียนก็อาจจะติดนิสัยนี้มาจากเพื่อน บางคนไปหาแม่ที่บริษัทแม่บ่อยๆ หรืออยู่กับผู้ใหญ่มากกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็อาจจะพูดจาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เกินวัย บางคนเห็นแม่แต่งหน้าก่อนไปทำงาน ก็จะเลียนแบบแต่งตามแม่
    
2.เลียนแบบจากสื่อ ต่างๆ เช่น สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ เป็นสื่อที่เด็กเลียนแบบได้เร็ว และไว เพราะเห็นทั้งภาพ ได้ยินทั้งเสียง ดังตัวอย่าง ในตอนต้นที่เด็กดูรายการแฟชั่นโชว์ หรือโฆษณาเรื่องสวยๆงามๆ ก็เลียนแบบทำตามบ้าง ไปจนกระทั่งติดคำพูดบางคำกลับมา เช่น บางคนจำก๊อปปี้โฆษณาได้เป็นฉากๆ แล้วจีบปากจีบคอพูด

"หาก ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะว่าทำไมลูกแก่แดดจังเลย แต่ในความเป็นจริงมันคือพฤติกรรมของเด็กวัยนี้ เขาจะเลียนแบบทุกอย่าง สมมติว่าเขาไปอยู่กับเด็กที่เล็กกว่า เขาลงไป เราก็อาจจะไม่เห็นพฤติกรรมแก่แดด แต่จะเห็นพฤติกรรมอ่อนกว่าวัย ดูเหมือนไม่รู้จักโต กับอีกกรณีหนึ่งคือเด็กไม่แก่แดดเลย เพราะเขาไม่เลียนแบบ ซึ่งอาจมีปัญหาด้านสติปัญญา ดังนั้นถ้าลูกจะแก่แดดไปบ้าง ก็ให้ภูมิใจเถอะค่ะว่าลูกฉลาดพอ เขาถึงได้เลียนแบบ" คุณหมอสุวรรณีย้ำความเข้าใจอีกครั้ง

สำคัญที่ท่าทีของพ่อแม่

รู้กันแล้วว่าความแก่แดดของลูกมีที่มาจากอะไร แต่ท่าทีที่จะปฏิบัติต่อลูกนี่สิ สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน แบบไหนมากไปน้อยไป และแบบไหนถึงจะเรียกว่าเหมาะ

ทักษะการปฏิบัติตัวของพ่อแม่ในเรื่องนี้ ความจริงไม่ยากเลย คุณหมอสุวรรณีแนะนำว่า ให้ใช้หลักง่ายๆดังนี้ค่ะ
    
.. ถ้าความแก่แดดของลูกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเลียนแบบของตัวลูกเอง หรือแก่แดดโดยธรรมชาติ พ่อแแม่ไม่ควรห้ามปรามค่ะ ลูกจะขยับตัวทำไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ห้ามพูด ห้ามทำไปเสียทั้งหมด นั่นเท่ากับส่งเสริมให้เด็กไม่รู้จักคิดอ่านทำอะไร กลายเป็นเด็กขี้กังวล และขาดความเชื่อมั่นในที่สุด แต่ถ้าพ่อแม่เปิดใจกว้าง เข้าใจเด็กว่ามันเป็น พัฒนาการของเขาที่อยากจะลองทำ ลองพูด และเลียนแบบด้วยตัวเอง กลับจะส่งผลดีให้เด็กเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้น ได้คิด ได้ริเริ่ม ได้สร้างสรรค์เป็น
    
..คุณจะห้ามปรามลูกได้ ก็ต่อเมื่อพิจารณาแล้วว่า สิ่งที่ลูกทำนั้นขัดขวางต่อพัฒนาการของลูกเอง ขัดต่อประเพณี-ศีลธรรม และอันตรายต่อชีวิต เช่น ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับคุณตาคุณยาย ไปพูดกับท่านเหมือนคนรับใช้กับเจ้านาย แบบนี้ถือเป็นพฤติกรรมแก่แดดที่ไม่น่ารักสักนิดเลย หรือลูกอาจจะเล่นแต่งงานกับเพื่อนได้ ไม่เป็นไร เพราะเขาเลียนแบบว่าพ่อแต่งงานกับแม่ แต่ถ้าถึงขั้นกอดกัน หอมกัน อย่างนี้ถือว่าเกินขอบเขตไป คงต้องห้าม และชี้แจงเหตุผลว่าไม่เหมาะ
    
..พ่อแม่ถือเป็นแบบอย่างที่ใกล้ตัวลูกที่สุด จึงจำเป็นต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อให้ลูกได้เลียนแบบในสิ่งดีๆตามไปด้วย
    
.. สื่อต่างๆที่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อลูก โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ในความเป็นจริงเราห้ามมิให้เด็กดูได้ลำบาก แต่ถ้าพ่อแม่อยู่กับลูกด้วย คอยกรอง หรือเลือกสรรรายการดีๆ ให้ลูก หากจะมีตัวอย่างไม่ดีปรากฏออกมาบ้าง เช่น การกระทำ หรือคำพูดไม่เหมาะสมของตัวละครบางตัว พ่อแม่สามารถชี้ได้ค่ะว่าสิ่งนั้นไม่ดี ไม่น่ารัก ถ้าเปลี่ยนช่องได้ให้รีบ เปลี่ยน หรือไม่สนับสนุน เช่น เห็นคนเต้นออกทีวีเยอะๆ แทนที่จะสนับสนุนให้ลูกเต้นตาม พ่อแม่ควรทำเพิกเฉยไปเสีย เท่านี้ก็จบ
    
แต่อย่างไรก็อย่าวิตกเกินกว่าเหตุนะคะ อย่างที่คุณหมอสุวรรณีเองก็ย้ำอยู่เสมอๆ ว่า "มันเป็นพัฒนาการช่วงหนึ่งของเด็กวัยนี้" ลูกจะแก่แดดบ้างให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่อย่าถึงขั้นแก่แดดจัดจนร้อนฉ่าก็แล้วกัน

แก่แดดไม่เป็นธรรมชาติ

แก่แดด แบบธรรมชาติเรารู้แล้วว่าเกิดจากการเลียนแบบของตัวลูกเอง แก่แดดแบบนั้นส่วนใหญ่จะน่ารักมากกว่าน่าหมั่นไส้ ผิดกับแก่แดดแบบไม่เป็นธรรมชาติ เห็นตัวอย่าง ชัดๆ ก็พวกเด็กๆที่ถูกผู้ใหญ่จับปรุงแต่ง แต่งหน้าตา เนื้อตัวเกินเด็ก จัดแสดงท่าทางเกินงาม ลองดูได้จากเวทีประกวดต่างๆ จะเห็นเด็กแก่แดดแบบไม่เป็นธรรมชาติเยอะมาก

    
ถ้ามองกันลึกๆเด็กพวกนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ ส่วนมากพ่อแม่นั่นแหละที่ยัดเยียดความแก่แดดให้กับลูก แล้วลูกก็เรียนรู้รับเข้าไป ซึ่งประโยชน์ที่เด็กได้รับจะมีอยู่แค่ด้าน เดียว นั่นคือ เขารู้ว่าเขาจะต้องทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากๆ ต้องเต้นอย่างไร แต่งตัวสวย หรือหล่ออย่างไร ซึ่งเทียบไม่ติดกับผลกระทบที่จะเกิดต่อตัวเด็ก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความกดดดันที่เขาจะต้องชนะตลอด หรือแทนที่จะใช้เวลากับการเรียนรู้ ศึกษาธรรมชาติที่เหมาะกับวัย เขากลับต้องไปเสียเวลากับการเต้น การแต่งตัวเพื่อเอาชนะ

หากเป็นแบบนั้น แล้วคุณจะยอมตัดโอกาสลูกหรือคะ ทางที่ดีคือ"เราต้องหยุดตัว เราเองก่อน" เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติของเขาจริงๆ



จาก: นิตยสาร Kids & School


ผู้ตั้งกระทู้ Admin :: วันที่ลงประกาศ 2009-08-20 23:51:19 IP : 124.122.176.232


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2106789)
avatar
noire

weaving hair extensions long hair wigs perfectly groomed when he was out and wigs give you the walk and the drawl of the jessica simpson hair human hair extentions.

ผู้แสดงความคิดเห็น noire (lena-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-10 18:57:24 IP : 125.126.157.28



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.