ReadyPlanet.com


ชวนเด็ก ๆ เล่นโยคะ ... เสริมสมาธิ
avatar
พี่แป้ง


จำพี่แป้งได้ไหมเอ่ย ....   ที่เคยไปฝึกสอนเด็กช่วงปิดเทอมน่ะคะ   เอาเป็นว่าจำได้ก็แล้วกันเนอะ    พี่แป้งเคยเห็นคุณครูสอนเด็กๆ เล่นโยคะ  ท่าแมว ท่าเรือ ท่าต้นไม้   เป็นไงบ้างคะ  ทำได้กันทุกท่าหรือยัง   พี่แป้งไปพบบทความเกี่ยวกับฝึกสมาธิโดยโยคะ  เก็บมาฝากเผื่อเป็นแนวทางเพิ่มเติมนะคะ   คิดถึงเด็ก ๆ และคุณครูทุกท่านนะคะ

 

โยคะเด็ก...หนูทำได้


โดย: ปวีณา

ไม่ได้ฝึกให้ลูกเป็น"โยคี"แต่ดีกว่านั้น เพราะเราจะพาไปดูการฝึก"โยคะเด็ก"เพื่อสร้างสมดุลกาย-ใจให้สอดคล้อง

ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ ไร้สาระ หรือให้เด็กหัดเป็นโยคี ทำท่าประหลาดพิสดารประเภทนั่งบนตะปู เดินลุยไฟ หรือใช้มีดแทงตามร่างกาย

จริงๆแล้วโยคะ ถือเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ช่วยปรับสมดุลย์ให้กับร่างกายและจิตใจ ซึ่งไม่เพียงวัยผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะฝึกได้ แต่เด็กเล็กๆวัย 3-4 ขวบ นี่แหละ สามารถหัดทำได้ไม่แพ้กัน

เรามีโอกาสแวะไปคุยกับ คุณเบญจพร วังตาล หรือ ครูเบญ ผู้หญิงที่เป็นทั้งแม่ และครูฝึกโยคะ เธอบอกถึงเหตุที่ทำให้เบี่ยงเบนความสนใจมาศึกษาเรื่องโยคะเด็กอย่างจริงๆ จังๆว่าเริ่มมาจากลูกชายวัยอนุบาล ช่วงนั้นเธอได้เข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กตามแนวนีโอฮิวแมนนิส ซึ่งวิทยากรคือ ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนอมาตยกุล ได้พูดถึงโยคะเด็กเอาไว้ด้วยว่าสามารถนำมาใช้กับเด็กๆได้ผลดี เธอจึงกลับไปศึกษาเรื่องนี้มากขึ้น และลงทุนไปเรียนเพื่อเป็นครูฝึกเต็มตัวที่สถาบันบางกอกโยคะ แล้วก็จับเอาลูกๆ หลานๆนั่นแหละมารับการฝึกก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยๆตามมาด้วยการเป็นครูฝึกให้กับค่ายเด็กต่างๆที่เรียกร้องกันเข้ามา

จากจุดเริ่มต้น ตามมาด้วยการฝึกและลองผิดลองถูกในครั้งนั้น ต้องผ่านความยากลำบากไม่น้อย ทั้งด้วยเรื่องวัย ธรรมชาติ และพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน ซึ่งมีขีดจำกัดไม่เหมือนกัน เด็กบางคนอาจเริ่มฝึกได้ตั้งแต่อายุยังน้อย 3-4 ขวบ ขณะที่บางคนต้องรอจนกว่าร่างกายและจิตใจจะพร้อมก็ต่อเมื่ออายุเลย 7 ขวบไปแล้ว ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของแต่ละครอบครัวว่าเตรียมกายเตรียมใจลูกมา ดีแค่ไหน แต่ส่วนมากมักพร้อมที่วัยปลายอนุบาล คือราวๆ 5-6 ขวบค่ะ เป็นช่วงที่เด็กผ่านการเรียนในรั้วโรงเรียน รู้จักควบคุมและรับผิดชอบตัวเองได้ดีพอสมควร

"การสอนโยคะเด็ก เราไม่เน้นหลักการอะไรมากแบบผู้ใหญ่ ขอแค่ 3 อย่างเท่านั้นที่เขาจะได้กลับไปหลังการฝึก คือ 1.ให้เขาสนุกและรักการออกกำลังกาย 2.รู้จักการหายใจอย่างถูกต้อง และ3.รู้จักการผ่อนคลาย-สมาธิ ขอแค่เท่านี้ก่อน แล้วเรื่องอื่นๆ จะตามมาทีหลังเอง"

จากประสบการณ์สอนโยคะเด็กของครูเบญ พบว่าโยคะเด็กไม่ได้แตกต่างจากโยคะผู้ใหญ่มากนัก จะต่างบ้างก็ตรงที่ท่าฝึกน้อยกว่า ฝึกง่ายกว่า และสนุกสนานมากกว่า ผู้ใหญ่จะมีท่าฝึกมากกว่า 30 ท่า แต่สำหรับเด็กจำเป็นต้องลดท่าลงมา โดยเลือกท่าที่ง่ายและไม่เป็นอันตราย พร้อมกับใส่กลวิธีจูงใจเล็กๆน้อยๆ เช่น ตั้งชื่อท่าต่างๆที่เรียกยากแสนยากเป็นท่าของสัตว์บ้าง อาทิ ท่าแมวเหยียดตัว แมวโก่งตัว งูข่อฟ่อ หรือไม่ก็อาจมีรูปภาพท่วงท่าของสัตว์ กระทั่งเล่านิทานประกอบ เล่นเกมสนุกๆต่อจากท่าแต่ละท่า

"สอนโยคะเด็กเล็กๆ ต้องใช้ทั้งจิตวิทยา สร้างความสนุก ความสุขให้กับเด็ก ซึ่งแต่ละคนก็อาจไม่เหมือนกันอีก ต้องดูเป็นรายๆไป บางคนอาจต้องเสริมด้วยนิทาน เราต้องหลอกล่อพอสมควรให้เขาหันมาสนใจฝึก เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่าวัยขนาดนี้เขาค่อนข้างสมาธิสั้น ความจดจ่อ หรือมีสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ค่อยยาวนาน จึงต้องพยายามดึงเขากลับเข้ามา ขออย่างเดียวแค่อย่าให้เด็กเบื่อ"

แต่พอดึงกลับมาได้แล้ว แทบหมดปัญหา สักพักเด็กๆจะเริ่มปรับตัวได้ ทีนี้กลับกลายเป็นเรื่องสนุกไป พูดอย่างเดียวกลัวว่าจะไม่เห็นภาพ ว่าแล้วก็ขอพาไปดูกันเลยว่า แต่ละขั้นตอนการฝึกเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มจาก

..หายใจแบบโยคะ..

ฟังดูเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย ก็คนเราหายใจกันได้ทุกคน ไม่จำเป็นต้องสอน แต่ขอถามนิดเถอะค่ะเราหายใจ"เป็น"กันแค่ไหน "เป็น"ที่ว่าหมายถึงเวลาหายใจเข้าต้องเต็มท้อง ท้องพองออก แล้วพอหายใจออก ท้องต้องแฟบ แต่สังเกตเด็กส่วนใหญ่(รวมทั้งผู้ใหญ่ด้วย) มักหายใจไม่ค่อยถูก ครูเบญก็จะปรับการหายใจตรงนี้ให้กับเด็ก โดยฝึกท่า"กบท้องพอง-ท้องแฟบ" หลับตานึกถึงพี่กบตอนมันหายใจทำท้องพอง ท้องแฟบขึ้นๆลงๆ นั่นแหละตรงกันเลย

พอเด็กหายใจ"เป็น" จะส่งผลดีตามมาหลายอย่าง อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องเล็กๆง่ายๆจะให้ได้มาก คือทำให้ออกซิเจนถูกส่งไปเลี้ยงร่างกายทุกส่วน เด็กจะสดชื่นแจ่มใส พร้อมเปิดใจรับการเรียนรู้ทุกอย่างที่เข้ามา อาทิ บางโรงเรียน อย่างเช่น โรงเรียนอมาตยกุล จะมีกิจกรรมโยคะในช่วงเช้าก่อนเข้าห้องเรียน ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กเรียนหนังสืออย่างสบายใจ และมีความสุขในการรับรู้

..ท่าฝึก..
เป็นท่าออกกำลังกายต่างๆ หรือท่าดัดตนที่เรียกว่า"อาสนะ" สำหรับเด็กเล็กๆวัยอนุบาล จะเน้นท่าที่อาศัยการยืด และปรับสมดุลย์ของร่างกายมากหน่อย ต้องให้เขายืดอย่างเต็มที่ในระดับที่พอเหมาะ คือไม่เกร็งและไม่ตึงเกินไปด้วย โดยทำไปพร้อมๆกับการหายใจเข้า-ออกแบบโยคะ

ที่ต้องเน้นท่ายืดตัว และปรับสมดุลย์เป็นพิเศษนั้น ครูเบญบอกว่าเนื่องจากวัยนี้กำลังเจริญเติบโต การทำท่ายืดตัวจะช่วยจัดสรีระร่างกาย ช่วยให้การทรงตัวไม่ล้มง่าย ร่างกายมีสัดส่วนสวยงาม แข็งแรง เจริญเติบโตได้ดี อย่างเด็กบางคนที่มีปัญหาตัวเล็ก ไม่ค่อยโต การฝึกโยคะจะเป็นตัวช่วยเสริมให้พัฒนาการด้านร่างกายของเขาดีขึ้นอีกแรง หนึ่ง

หรือบางท่าก็มีประโยชน์ต่อการกระตุ้นสมองให้มีความจำดีขึ้น บางท่ากระตุ้นระบบอวัยวะภายใน เช่น ระบบทางเดินอาหารให้ทำงานปกติ เด็กบางคนอ้วนมาก ผอม มาก เมื่อฝึกโยคะไปเรื่อยๆ ร่างกายเขาจะค่อยๆปรับสมดุลขึ้นมา

..ผ่อนคลาย..
หลังจากเด็กฝึกแต่ละท่าไปแล้ว ต้องจบลงด้วยท่าผ่อนคลาย ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ทั้งแขน-ขา ไม่แข็งเกร็ง แต่นิ่ง สบาย เป็นธรรมชาติ ปรับร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติได้รวดเร็ว

ระยะเวลาการฝึกเด็ก ส่วนมากจะอยู่ในช่วง 45-60 นาที ไม่มากไปกว่านั้น ไม่อย่างนั้นเด็กจะล้าเกินไป แต่บางคนอาจใช้เวลาแค่ 30 นาที ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา ซึ่งเราต้องเข้าใจว่ายังโตไม่มากพอที่จะรู้ว่าต้องฝึกอย่างต่อเนื่องกัน

เพราะอย่างที่บอก สำหรับเด็กๆ แค่เพียงเขาได้รักการออกกำลังกาย หายใจถูกต้อง รู้จักผ่อนคลาย แค่นี้ก็ตรงตามวัตถุประสงค์ของการฝึกโยคะเด็กแล้วล่ะค่ะ

จาก: นิตยสาร Kids & School



ผู้ตั้งกระทู้ พี่แป้ง (pang-at-gmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2009-07-04 17:22:15 IP : 124.120.102.35


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1958657)
avatar
pang

บันทึกโยคะเด็ก

โดย: เบญจพร วังตาล

บันทึกโยคะเด็ก..เพื่อสุขภาพเจ้าตัวน้อย

 

แม่น้องโอ๊ตเพื่อนรัก
ฉันมีประสบการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ  โยคะเด็ก  มาเล่าให้ฟัง เธอคงจำได้ว่าฉันได้มุมานะฝึกโยคะเพื่อแก้ไขเรื่องสุขภาพที่ย่ำแย่ของฉันตามคำแนะนำของหมอ เมื่อ
สุขภาพดีขึ้น ฉันก็คิดถึงลูกๆโดยเฉพาะน้องคริส เจ้าตัวเล็กของฉันเป็นอันดับแรกทันที


เธอก็รู้ๆอยู่ว่าลูกฉันไม่สบายเป็นประจำตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นอนุบาลกับน้องโอ๊ตของเธอ โรคภูมิแพ้และหอบหืดก็ยังเป็นโรคประจำตัวอยู่จนบัดนี้ แถมแกยังซนเหมือนเดิม ฉันจึงเริ่มจับลูกมาฝึกโยคะฉบับเด็กๆ
แรกทีเดียว น้องคริสก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่

แต่เมื่อฉันปรับวิธีการฝึก
และเพิ่มความสนุกสนานเข้าไป น้องคริสก็ชอบมาก และยอมฝึกตาม เมื่อฝึกต่อเนื่องได้

ระยะหนึ่ง น้องคริสก็แข็งแรงขึ้น มีสมาธิเพิ่มขึ้น แถมซนน้อยลง ฉันดีใจยิ่งกว่าได้รางวัลชิ้นใหญ่เลยทีเดียว และก็ตื่นเต้นจน อดที่จะเล่าให้เธอฟังไม่ได้ น้องโอ๊ตของเธอเป็นอย่างไรบ้าง เธอแก้ไขปัญหาได้หรือยังจ๊ะ

ก่อนอื่น ฉันขออธิบายว่าโยคะเด็กคืออะไร และวิธีการฝึกเป็นอย่างไร

โยคะเด็ก คือการฝึกโยคะสำหรับเด็กน้อย เป็นการบริหารร่างกายอย่างแท้จริง
ซึ่งต่างจากการฝึกแบบผู้ใหญ่ตรงที่ฝึกท่าน้อยกว่า ฝึกง่ายกว่า และสนุกสนานมากกว่า แต่ยังคงได้ผลดีทางร่างกายและจิตใจเช่นกัน แถมเพิ่มสมาธิมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด วิธีหนึ่งสำหรับระบายพลังงานเหลือเฟือสำหรับเด็กที่ไม่ค่อยอยู่สุขอีกด้วย เด็กจะซนน้อยลง และสำรวมมากขึ้น

 
พื้นฐานของการฝึกโยคะเด็กนี้ ยังคงเป็นหลักการเดียวกันกับ หะฐะโยคะ ซึ่งเป็นโยคะที่คนทั่วไปนิยมฝึกและได้ผลดีที่สุด เพราะหะฐะโยคะเป็นโยคะที่ฝึกพลังด้านบวก และลบให้มาประสานกัน เพื่อให้เกิดสมดุลของร่างกาย เมื่อพลังกายและพลังจิตเชื่อมกัน จะทำให้สุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็ดี และมีสมาธิเพิ่มขึ้น

 
ส่วนวิธีการฝึกแบบสนุกๆ ฉันก็ตั้งชื่อท่าต่างๆเป็นท่าสัตว์บ้าง หรือท่าธรรมชาติรอบตัวที่เด็กๆชื่นชอบ บางท่าก็ดัดแปลงให้เด็กฝึกง่ายจำง่าย ฝึกไปพร้อมกับนิทานโปรดของ เด็กที่ฉันตั้งใจแต่งขึ้นมาเพื่อโยคะเด็กโดยเฉพาะ เด็กๆก็ฝึกอย่างสนุกสนานและมีความสุขด้วย

 
ท่าที่เด็กชื่นชอบก็มีท่าไหว้พระอาทิตย์แสนสนุก ท่าซูเปอร์ตั๊กแตน ท่าดาวคันไถ ท่าธนูคิวปิด ท่างูขู่ฟ่อ ท่าแปลงกาย และอีกหลายท่า โดยเฉพาะท่าปลาดาวหงาย-คว่ำ ซึ่งเป็นท่าผ่อนคลาย และเราจะจบการฝึกด้วยการฝึกสมาธิที่ต้องใช้เทคนิคสูงที่จะให้เด็กๆ นั่งสมาธิได้นานกว่าเดิม

 
เมื่อผ่านการฝึกระยะหนึ่งแล้ว จะมีการฝึก ปราณยามเบื้องต้น เช่น ทำความ
สะอาดจมูก ทำความสะอาดปอด บริหารตา และฝึก มนตราโยคะ ซึ่งเป็นบทเพลงที่เสริมสมาธิแห่งความรักที่บริสุทธิ์ ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า Universal Love

 
เด็กๆจะมีความสุขกับเสียงเพลง บาบานัม เควาลัม

(Love is everywhere-ความรักอยู่ทุกหนแห่ง)


ต่อไปฉันจะเล่าถึงขั้นตอนการฝึกโยคะอย่างย่อๆ ซึ่งมีขั้นตอนหลักดังนี้

 

1. หายใจแบบโยคะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของโยคะ และเป็นการหายใที่ถูกวิธี เพราะเป็นการหายใจละเอียดใกล้เคียงกับการหายใจเพิ่มออกซิเจน และพลังชีวิต (ปราณ) ของเซลล์ร่างกายที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ร่างกายแข็งแรง เสื่อมช้า และมี
อายุยืน หน้าตาเราจะดูเด็กกว่าอายุด้วย

 
2. ท่าฝึก ออกกำลังกายต่างๆ หรือท่าดัดตนที่เรียกว่า อาสนะ ท่าฝึกโยคะแต่ละท่าจะอาศัยการยืดของร่างกาย (Stretching) ให้ถูกต้องและต้องยืดเต็มที่อย่างพอเหมาะ โดยไม่เกร็งตัวหรือทำตึงเกินไป การฝึกโยคะจะทำไปพร้อมๆ กับ                   การหายใจเข้า - ออกแบบโยคะ และมีการผ่อนคลายแต่ละขั้นตอนการฝึก จะทำให้ได้ผลดีอย่างสมบูรณ์


3. การผ่อนคลาย ทั้งร่ายกายและจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่ง การฝึกท่าผ่อนคลายที่ถูกวิธี จะช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายโดยไม่มีอาการเครียด อาการเกร็งมากค้างเลย ซึ่งท่าผ่อนคลายก็มีหลายท่าและใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับการฝึกแต่ละท่าทุกครั้ง ท่าผ่อนคลายแบบคว่ำ แบบนอนตะแคง หรือแบบนอนหงายที่เรียกว่า ท่าศพอาสนะ แต่เด็กของฉันเรียกว่า ท่าปลาดาวสมาธิ

ที่ฉันเขียนเล่ามาทั้งหมดนี้ เวลาฝึกจริงๆไม่ยุ่งยากอะไรเลยนะ ขอเพียงแต่เราเปิดใจและตั้งใจฝึกจริงจัง ที่สำคัญก็คือ หาเวลาฝึกให้ได้สม่ำเสมอเท่านั้นแหละจ้ะ

ถ้าเธออยากให้ฉันช่วยอธิบายเพิ่มเติม อย่าลืมติดต่อมานะจ๊ะ ฉันยินดีเสมอเพื่อสุขภาพที่ดีของเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติที่สำคัญไงละจ๊ะ

ถ้าเธอเข้าใจและอยากช่วยเด็กๆ ที่เธอรู้จัก เธอก็เล่าให้พ่อแม่เด็กรู้จักโยคะ เด็กเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นความรู้และเป็นทางเลือกหนึ่งของการแก้ไขปัญหา อย่าลืมอธิบายไป ด้วยว่า โยคะเป็นศาสตร์และศิลป์แห่งการออกกำลังกายและการผ่อนคลาย มีการบำบัดร่างกายและจิตใจที่มีความสมดุลกัน ฝึกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมทั้งคนที่ไม่มีปัญหาก็ฝึกได้ดี เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหน้าจ๊ะ

เธอเองก็คงสนใจบ้างใช่ไหม เริ่มฝึกพร้อมลูกๆก็ดีจ้ะ                         เพื่อครอบครัวสุขภาพดี มีความสุข

ร่างกายจะแข็งแรง หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และมีสมาธิเพิ่มขึ้น
ท่าไหว้พระอาทิตย์แสนสนุก และ พระอาทิตย์ยิ้ม ของเด็กๆ จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยยืดกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆ และปรับสมดุลของร่างกายได้ดีด้วย ส่วนท่าอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อการกระตุ้นสมองให้มีความจำดีขึ้น เหมาะทั้งเด็ก
และผู้ใหญ่คือ ท่ากระต่ายทั้ง 3 โดยเฉพาะ ท่ากระต่ายส่องไฟ เหมาะกับเด็กที่เป็นโรคหอบหืดมาก น้องคริสต้องฝึกเป็นประจำเชียวละ


ท่าฝึกที่จัดเป็นท่ากายภาพบำบัดได้ เช่น ท่าอักษร L แปลงกายเป็นเจ้ากระสุน พระอินทร์ ท่างูขู่ฟ่อ ท่าแมวเหมียวเหยียดตัว เป็นต้น

นอกจากนี้ มีท่ากระตุ้นอวัยวะภายในที่สำคัญให้แข็งแรงเช่นหัวใจ 9 ท่า ช่วยให้การทรงตัวไม่ล้มง่าย และท่าที่ช่วยให้ร่างกายมีสัดส่วนสวยงามสมส่วน ถ้าเธออยากรู้รายละเอียดรีบเขียนมาบอกนะจ๊ะ

 

 
รัก...แม่น้องคริส

 
(เบญจพร วังตาล)

 

 จาก: นิตยสาร Life & Family

ผู้แสดงความคิดเห็น pang (pang-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-07-04 17:25:02 IP : 124.120.102.35


ความคิดเห็นที่ 2 (1958661)
avatar
pang

โยคะวัยคิดส์

โดย: มอลลี่

 

 

มารู้จักการออกแรงแบบนุ่มนวลและใช้สมาธิที่เรียกว่า "โยคะ"

 

 

ถ้าพูดถึงกีฬาสำหรับเด็ก หลายคนคงนึกถึงภาพกิจกรรมที่กระโดดโลดเต้น ได้ออกแรงจนเหงื่อโทรมกาย แต่ถ้าจะว่าไปแล้วมีกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่ได้ออกแรงเหมือนกัน แต่เป็นการออกแรงแบบนุ่มนวลและใช้สมาธิเสียมากกว่า กีฬาที่ว่านี้ก็คือ "โยคะ" นั่นเอง  คุณศุภรดา ชินบุตร คุณอา-ผู้ปกครองของน้องหมวย ด.ญ.ปิยธิดา พิชิตหฤทัย อายุ 7 ขวบ (เริ่มเรียนโยคะเมื่ออายุ 5 ขวบกว่า)


การจะเลือกกิจกรรมให้กับเด็กนั้น สิ่งสำคัญคือเด็กจะต้องชอบและเป็นการพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจค่ะ ที่เลือกให้น้องหมวยเรียนโยคะก็ต้องบอกว่าเริ่มต้นจากตัวเราก่อนเพราะพอเรียนโยคะแล้วรู้สึกว่ามีสมาธิและร่างกายก็แข็งแรงด้วย จึงอยากให้หลานสาวเรียนโยคะด้วยร่างกายและจิตใจจะได้แข็งแรงค่ะ

ด้วยลักษณะนิสัยตามธรรมชาติของเด็กที่อาจจะมีอารมณ์หงุดหงิด ไม่ค่อยอยู่กับที่ตามประสาเด็กบ้าง แต่พอน้องหมวยได้มาฝึกโยคะดีขึ้นมากเลยค่ะ ที่เห็นชัดทั้งสองส่วนคือ ร่างกาย มีความยืดหยุ่นและตัวอ่อนมากขึ้น ไม่ค่อยป่วยง่ายด้วยค่ะ อีกด้านคือจิตใจ น้องหมวยใจเย็นลง ไม่หงุดหงิดง่าย ฟังมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการมีสมาธิและตั้งใจกับสิ่งที่เขาทำมากขึ้น


ส่วนอีกด้านที่รู้สึกว่าเขาจะทำได้ดีคือ การเรียนยังเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งอกตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่ว่าการที่ร่างกายและจิตใจจะพัฒนาได้ดีต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรค่ะ อย่างน้องหมวยเรียนโยคะมาประมาณหนึ่งปีกว่าแล้ว การได้เรียนและฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องถึงจะทำให้เห็นพัฒนาการที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

อย่างที่บอกว่าการเลือกกิจกรรมต้องดูที่ความชอบของเด็กด้วย สำหรับโยคะที่ต้องนั่งนิ่งๆ แต่ดีที่น้องหมวยเขาชอบจึงได้ประโยชน์กลับมาอย่างเต็มที่ พอถึงที่บ้านเขาก็จะทำโยคะตั้งแต่เริ่มนั่งสมาธิก่อนแล้วก็ทำท่าที่ครูสอน อย่างเช่น วันนี้เรียนท่ายืนด้วยศีรษะเขาก็จะกลับมาทำ แต่เราต้องคอยดูเรื่องความปลอดภัยให้ด้วยนะคะ

นอกจากจะดูว่าเด็กชอบกิจกรรมที่เด็กทำหรือไม่แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือคุณพ่อคุณแม่ก็ควรต้องดูด้วยว่ากิจกรรมที่จะเด็กทำนั้นช่วยเน้นทักษะด้านใดบ้างเพื่อจะได้พัฒนาทักษะได้เหมาะสมกับตัวเด็กด้วยค่ะ

Teacher said
ครูสอนโยคะ กษิดิศ กันน้อย ศูนย์ฝึกอบรมโยคะกษิดิศ

ช่วงหกปีแรกเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของพัฒนาการเด็กครับ ฉะนั้นการออกกำลังกายที่นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้วการที่สมองได้พัฒนาไปด้วยก็จะส่งผลดีกับเด็ก ซึ่งก็คือการทำ Brain Gym ที่เป็นการฝึกการทำงานของสมอง และโยคะก็เป็นกีฬาหนึ่งที่มีการทำ Brain Gym ท่าอาสนะโยคะสำหรับเด็กจะเป็นท่าที่ช่วยฝึกเรื่องการทรงตัว และเป็นท่าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไธรอยด์เพื่อหลั่ง Growth Hormone ส่งผลโดยตรงกับการที่เด็กจะมีร่างกายที่แข็งแรง เช่น ท่าต้นไม้ เป็นการยืนขาเดียว เมื่อเด็กยืนแรกๆ อาจจะมีเป๋บ้าง แต่เด็กก็จะพยายามยืนทรงตัวให้ได้ ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นสมองเช่นกัน หรือท่ากระต่ายที่จะไปกดสมองทำให้สมองถูกกระตุ้น แต่ขณะเดียวกันถึงจะมีท่าที่ช่วยพัฒนาสมองแต่ก็ต้องเป็นท่าที่ถูกต้องด้วยนะครับ เพราะการทำอาสนะโยคะแบบไม่ถูกต้องก็อาจจะเป็นอันตรายได้เหมือนกัน


ท่าอาสนะโยคะนอกจากจะกระตุ้นสมองแล้วยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ร่างกายมีความยืดหยุ่น จะต่างกับยิมนาสติกตรงที่โยคะจะเป็นการฝึกจิตควบคู่ไปด้วย มีการกำหนดลมหายใจเข้าออก เด็กที่มาเรียนจึงต้องอายุตั้งแต่ 5-6 ขวบขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่กล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่พร้อมแล้วและยังสามารถทำตามคำสั่งที่ครูบอกได้ด้วย

เวลาเรียนโยคะเด็กๆ เขาจะไม่รู้สึกเบื่อหรอกครับ เพราะแต่ละท่าเราจะใช้ธรรมชาติการเคลื่อนไหวของเด็กมาจับ เรียกว่าใช้ความซนของเด็กให้เป็นประโยชน์ เราจะเริ่มต้นจากให้เด็กสนุกกับการทำโยคะก่อน จากนั้นก็ฝึกให้เด็กหายใจเข้า-ออก เมื่อเด็กสนุกแล้วจะไม่ทำให้เขารู้สึกว่าถูกบังคับให้เรียน แล้วการเรียนในห้องครูก็ต้องสร้างแรงจูงใจให้เด็กได้เรียนอย่างสนุกสนานด้วยครับ พอใช้วิธีนี้ก็ทำให้เด็กๆ ไม่เบื่อที่จะเรียนโยคะครับ

จาก: นิตยสาร Modern Mom

ผู้แสดงความคิดเห็น pang (pang-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-07-04 17:27:08 IP : 124.120.102.35


ความคิดเห็นที่ 3 (1958663)
avatar
pang
เด็กอ่อนก็เล่นโยคะได้นะคะ  แต่โยคะเด็ก อย่ามองข้ามข้อควรระวัง!

                                                 



3 ข้อต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องตระหนักทุกครั้งที่ทำโยคะให้เจ้าตัวเล็ก


1. สถานที่เหมาะสม
เลือกสถานที่ทำโยคะที่ปลอดภัย สะอาด และมีอากาศถ่ายเทสะดวก ส่วนโยคะที่เด็กทำเองจะเป็นวัยที่ยืน เคลื่อนไหว ควบคุมระบบกล้ามเนื้อระบบประสาทได้ในระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่อันตรายมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น มุมโต๊ะและพื้นแข็ง เป็นต้น ดังนั้นต้องมีเบาะรองทุกครั้งค่ะ


2. ใส่ใจท่าฝึก
ควรเลือกท่าที่เหมาะสมกับพัฒนาการทางกล้ามเนื้อและกระดูกของลูก เช่น ถ้าลูกยังนั่งไม่ได้ไม่ควรให้ฝึกท่าก้มหลัง เพราะท่านี้เชื่อมโยงกับพัฒนาการกล้ามเนื้อสันหลังและกระดูกสันหลังของเด็ก ท่าบางท่าที่ใช้หัวตั้งกับพื้น อาจดูตื่นเต้นน่าสนใจแต่     ก็อันตราย ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ หรือเด็กที่ยังยกคอไม่ได้ไม่ควรที่จะฝึกท่าแอ่นหลังตั้งคอขึ้นมา บางท่าต้องระบุเลยว่าสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป เป็นต้น


3. สัมผัสอ่อนโยน
เวลาฝึกพ่อแม่ควรปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ ไม่ควรเคร่งเครียด และสังเกตอารมณ์ของลูก ถ้าลูกเริ่มร้องโยเย                 ควรหยุดฝึกอย่าไปฝืน และกลับมาฝึกใหม่เมื่อลูกอารมณ์ดี ที่สำคัญคุณแม่ควรระวังน้ำหนักมือ ใช้น้ำหนักมือเพียงเบาๆ ลูก   จะได้ไม่ตกใจและจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายค่ะ


ต้องรู้ก่อนทำโยคะเด็ก


1. สำหรับเด็กที่เริ่มฝึกใหม่ๆ คุณแม่ต้องแน่ใจว่าลูกได้เริ่มจากท่าง่ายๆ ก่อน และต้องรู้ขีดจำกัดว่าควรฝึกนานแค่ไหน และ   ไม่ควรบังคับลูกเล่นโยคะ


2. ควรเลือกครูฝึกโยคะที่มีประสบการณ์สอนโยคะเด็กหรือโยคะเบบี๋โดยตรง


3. สังเกตบรรยากาศระหว่างลูกกับครูขณะที่ฝึกโยคะ และดูเรื่องความปลอดภัยด้วย


4.หากจะทำโยคะลูกเองที่บ้าน ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับการฝึกโยคะเด็กเบื้องต้น และอย่าลืมเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ เพราะกล้ามเนื้อและกระดูกยังไม่แข็งแรงอาจจะบาดเจ็บได้


5. ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีคนให้ความช่วยเหลือได้ทันที หากรู้สึกเหนื่อยให้หยุดพักและหยุดเล่นทันทีเมื่อมีอาการบาดเจ็บค่ะ


6. สิ่งที่คุณแม่คาดหวังได้จากการฝึกโยคะให้ลูกคือ จะเห็นลูกอารมณ์ดี มีระเบียบวินัย และมีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ


Yoka’s Tips


1. คุณแม่ควรทำโยคะให้ลูกเป็นเวลาค่ะ ซึ่งอาจจะเลือกเวลาช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ ถือว่าเป็นช่วงที่ลูกจะได้ผ่อนคลาย


2. ก่อนเริ่มทำโยคะ คุณแม่นั่งบนพื้นทางด้านขาของลูกและมองตาเขา จับที่ตัวของลูกเพื่อถ่ายทอดสัมผัสและปรับลมหายใจไปพร้อมๆ กับลูก ด้วยการหายใจลึกๆ เงียบๆสักครู่


3. สำหรับเบบี๋ที่เริ่มทำโยคะ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีกำลังดีค่ะ ซึ่งโยคะแต่ละท่าควรใช้เวลาทำสัก 30 วินาที - 1 นาที จากนั้นคุณแม่จึงค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นตามความสามารถของลูกน้อยค่ะ


4. ส-นุ-ก ตัวอักษร 3 ตัวนี้สำคัญนะคะ เพราะคุณแม่ควรมีอารมณ์ขัน หรือหาวิธีกระตุ้นให้ลูกรู้สึกสนุกสนานและอยากฝึกโยคะค่ะ

 

 

 

 

จาก: นิตยสาร Modern Mom

ผู้แสดงความคิดเห็น pang (pang-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-07-04 17:30:09 IP : 124.120.102.35


ความคิดเห็นที่ 4 (2106829)
avatar
logan

fake handbag replica handbags wasnt until her good friend and louis vuitton Bag for the fall collection is a louis vuitton handbags lv men fake.

ผู้แสดงความคิดเห็น logan (sydne-at-google-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-10 19:02:48 IP : 125.126.157.28



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.