แม้เจ้าตัวเล็ก (ที่อาจกลายเป็นเจ้าตัวโตไปเสียแล้ว) จะผ่านประสบการณ์ในห้องเรียนชั้นอนุบาลมา 3 ปีเต็ม แต่สำหรับการก้าวย่างสู่โลกเรียนรู้ชั้นประถม อีกขั้นหนึ่งของช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญเช่นกันค่ะ เพราะในโลกกว้างชั้นประถมมีหลายเรื่องราวที่เจ้าหนูต้องเตรียมพร้อม ทั้งการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ขยายอาณาเขตกว้างขึ้น กับทั้งองค์ความรู้ที่เขาต้องเตรียมสมองให้พร้อมรับค่ะ
.................................................................
ประถม 1 : สู่โลกวิชาการ
"รร.ประถมไม่เห็นสนุกเหมือน รร.อนุบาลเลย?!?"
ถ้าได้ยินเจ้าหนูบ่นอุบอย่างนี้ ก็อย่าเพิ่งมองว่าเขาไม่ยอมโต โยเยไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนน้องเพิ่งเข้า อ.1 อีกแล้ว เพราะจาก อ.3 สู่ ป.1 เป็นอีกช่วงเปลี่ยนผ่านที่พ่อแม่ควรใส่ใจ เพราะแม้วัย 6 ปีจะพึ่งพาตัวเองได้หลายเรื่อง ทั้งร่างกาย จิตใจ-อารมณ์ สังคม รวมทั้งสติปัญญาพร้อม แต่สาเหตุที่ทำให้เขาหน่ายโรงเรียนประถมอาจมีหลายประการด้วยกัน เช่น
- เปลี่ยนโรงเรียนใหม่ ทำไมหนูต้องแต่งตัวเอง (ฟังดูอาจมีเสียงบ่นอุบ...เชือกผูกรองเท้าผูกย้ากยาก...เข็มขัดก็น่าอึดอัดจัง)
- คุณครูเปลี่ยนหน้า เพื่อนซี้ที่หม่ำข้าวกลางวันด้วยกันมาหายไปไหน?!?
- ทำไมโรงเรียนกว้างขึ้น เพื่อนนักเรียนเยอะแยะเต็มไปหมด แถมสนามเด็กเล่นก็ไม่เห็นเหมือนเดิมเลย
- แต่ก่อนหนูเรียนๆ เล่นๆ ตอนบ่ายยังได้นอนกลางวัน ทำไมตอนนี้ต้องนั่งเรียนทั้งวัน วันละตั้งนานแน่ะ!
- ..............................................
ยังมีอีกหลายเหตุผลให้คุณเลือกเติมค่ะ ลองสังเกตสิคะ จุดแตกต่างที่ทำให้เกิดอารมณ์แอนตี้โรงเรียนสำหรับวัยอนุบาลและประถม คือ
*วัยอนุบาล ปรับสภาพแวดล้อมใหม่จากที่เคยเป็นพระเอกนางเอกของบ้านมาสู่โรงเรียนที่ต้องอยู่ร่วมกับเพื่อน แต่...
*วัยประถม แม้เขาจะเคยมีพื้นฐานวิธีปฏิบัติเพื่อปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ๆ แต่ทั้งระบบการเรียน ระบบเวลาที่ต้องจัดกระบวนใหม่ เช่น ช่วงเวลาแต่ละคาบเรียนที่ยาวขึ้น กระบวนวิชาที่ถูกแบ่งแยกชัดเจนขึ้น เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เวลาเล่นก็ถูกจำกัดลง รวมถึงกระแสความคาดหวังจากคุณพ่อคุณแม่ที่ปรารถนาให้ลูกเก่งกาจในโลกวิชาการ
แบบนี้ถ้าเจ้าหนูอิดออด ต่อต้านการเรียนในระดับประถม Growing Up มีคำแนะนำดีๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่และคุณครูในการปลุกพลังเรียนรู้ให้วัยประถมค่ะ
Adult can do! : ปลุกพลังเรียนรู้ให้วัยประถม
เชื่อว่าวัยนี้มีศักยภาพเพียงพอในการริเริ่มเรียนรู้วิชาการค่ะ แต่โฉมหน้าของสิ่งแวดล้อมใหม่อาจต่างจากสภาพที่เขาคุ้นเคยอย่างมากตัวช่วยปรับสู่โลกประถมได้ดีที่สุดจึงเป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อปรับตัวอย่างตรงจุดค่ะ
START I : พร้อมสู่ระบบการเรียนที่แตกต่าง
แต่ละโรงเรียนย่อมมีรูปแบบการเรียนการสอนที่ต่างกันตามสไตล์ แม้แต่แนวเตรียมความพร้อมเองก็มีหลากหลายวิถี หรือแนววิชาการก็อาจมีทั้งกระตุ้นทักษะอ่านเขียน ทักษะภาษาอังกฤษฟุดฟิดฟอไฟ จึงต้องเลือกวิธีปรับตัวให้เหมาะกับพัฒนาการของหนูๆ กับทั้งสิ่งแวดล้อมที่เขาต้องเข้าไปเป็นสมาชิกใหม่
- พร้อมสู่การขลุกนั่งเรียนเป็นเวลานานๆ ในแต่ละคาบชั่วโมง ที่คงสร้างความเบื่อหน่ายให้วัยที่ยังซุกซน ลองแก้ด้วยการฝึกสมาธิค่ะ วัย 7-8 ปี สามารถฝึกให้เขาจดจ่อกับกิจกรรมหนึ่งๆ ได้ โดยมอบหมายงานในบ้านที่เขาสนใจ แล้วกำหนดช่วงเวลาเสร็จสิ้นของกิจกรรม วิธีนี้จะช่วยให้เขาฝึกรักษาวินัย สร้างความรับผิดชอบ และกระตุ้นให้เกิดความมุมานะ
- การเรียนช่วงแรกของน้อง ป.1จะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาวิชาการที่ยากขึ้นเป็นลำดับ ลองช่วยหนูฝึกหัดเรียนรู้ ตาม step พัฒนาการ เช่น ลองฝึกกล้ามเนื้อมือบังคับดินสอลากเส้นเป็นคำ ฝึกหัดนับเลข คิดเลขอย่างง่ายๆ จากเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน เช่น นับจำนวนแก้วน้ำบนโต๊ะอาหาร นับจำนวนเพื่อนในห้องเรียน วันนี้มาเรียนครบไหมนะ?
- ส่วนช่วงเวลานอนกลางวันที่ต้องหายไป คุณพ่อคุณแม่ลองฝึกลดเวลานอนของเจ้าหนูลง โดยอาจให้เขางีบตอนบ่ายบ้าง แต่ลดเวลาลงทีละนิด ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เพื่อให้เขาเคยชิน ไม่ต้องนั่งง่วงหาวในห้องเรียนค่ะ
START II : พร้อมสู่การเข้าสังคมใหม่
แท้จริงแล้ววัยนี้พร้อมที่จะพูดคุยคบหาเพื่อนทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศ เนื้อหาที่เด็กๆ สื่อสารกันอาจมีทั้งเรื่องการเรียน ชีวิตประจำวัน หรือบางเรื่องราวที่เขามีความสนใจร่วมกัน เช่น เรื่องสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน เมนูอาหารสุดโปรด
- การมีเพื่อนสนิทที่เขาชื่นชอบนิสัยใจคอ จะทำให้เขารู้สึกสนุกกับไปโรงเรียน และมีก๊วนร่วมทำกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนการค้นหากิจกรรมสนุกๆ ให้เขาทำร่วมกัน เช่น กีฬามันส์ๆ ของหนุ่มน้อยวัยประถม หรือกลุ่มสาวน้อยที่อาจรวมกลุ่มกันประดิษฐ์ของเล่นหรือของใช้กระจุ๊กกระจิ๊กตามประสาผู้หญิง
- กรณีที่เจ้าตัวเล็กเกิดเหตุทะเลาะขัดใจกับเพื่อนบางคน วิธีแก้ไขคือต้องค้นหาสาเหตุให้พบค่ะ เพราะวัยประถมต้นเป็นวัยที่ซึมซับถึงตัวตนและความต้องการของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อต้องอยู่ในสังคมเพื่อนซึ่งแต่ละคนต่างที่มา ทำให้เขามีโอกาสพบผู้คนในรูปแบบที่เขาไม่ชอบใจ เช่น น้องผู้หญิงอาจยังไม่คุ้นเคยกับการสุงสิงกับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย
ปัญหานี้คุณพ่อคุณแม่และคุณครูควรร่วมมือกันคลี่คลายอย่างตรงจุด ไม่ควรแยกเขาออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่เขาไม่ชอบใจโดยไม่คลี่คลายปมปัญหาค่ะ เพราะจะทำให้เขาซึมซับไปโดยปริยายว่าเขาไม่สามารถคบกับเพื่อนกลุ่มนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมต่อเนื่อง เช่น กรณีของน้องผู้หญิงที่อาจไม่ยอมเข้าใกล้เพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ อีกเลย
START III : พร้อมสู่การค้นหาตัวตนในโลกประถม
- วัยประถมต้นถือเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ได้พบองค์ความรู้จากหลายวิชาในหลักสูตรการเรียน ลองพลิกวิกฤตความเครียดจากการเรียนเป็นโอกาส สนับสนุนให้เขาค้นหาความสนใจและความถนัดของตัวเอง ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เขามีความสุขกับการไปโรงเรียน อีกทั้งการชวนลูกทำกิจกรรมหลากหลาย เช่น กีฬา หรือดนตรี เขาจะเห็นสีสันที่มากกว่าบทเรียนแสนยากในรั้วโรงเรียน
- การบ้านที่เจ้าหนูรับมาแต่ละวัน คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ เพราะทั้งปริมาณที่มากขึ้นและเนื้อหาที่ยากขึ้นอาจทำให้เขารู้สึกท้อใจ เมื่อเจอโจทย์ที่เขางุนงงสงสัย การที่คุณพ่อคุณแม่คอยไต่ถาม หรืออยู่ใกล้ๆ เพื่อให้เขาปรึกษาในจุดที่ไม่เข้าใจ จะทำให้เขารู้สึกมีที่พึ่งในระดับหนึ่ง แต่ในทางกลับกันต้องปล่อยให้เขาแสดงความคิดและได้ประลองความรู้กับการบ้านเองด้วยนะคะ เขาจะได้มีพื้นความรู้แข็งแรงพอสำหรับการเรียนในครั้งต่อไป
วิธีนี้จะช่วยให้ลูกกล้าที่จะเรียนรู้ในหลากหลายวิชา รวมทั้งวิชาที่เขาอาจไม่ชื่นชอบนัก เขาจะได้ค้นพบความสนใจของตัวเองที่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยสนับสนุนได้ตรงจุดค่ะ
รอยต่อของแต่ละระดับชั้นเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยผสานรอยอย่างนุ่มนวล และอาจยืดหยุ่นบ้าง เพื่อให้เขามีช่วงเวลาในการปรับตัวปรับใจ โดยเฉพาะวัยประถมที่แม้จะเข้าสู่การเรียนรู้ที่มีมาตรฐานด้านการศึกษาชี้วัดชัดเจน แต่ความรัก ความเข้าใจ และการลดละความคาดหวังให้พัฒนาการของลูกเติบโตแบบก้าวกระโดด พี่วัยประถมจะริเริ่มเรียนรู้ในโลกแห่งวิชาการได้อย่างแข็งแรงค่ะ |