ปัญหาเด็กออทิสติกที่รอการแก้ไข

สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกปกติ ก็คงทราบดีว่าต้องดูแลเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนให้ลูกเติบโตขึ้นมาในแต่ละช่วงวัย ให้มีพัฒนาการสมวัย ก็เหนื่อยอยู่ตามสมควร
       
       แล้วถ้าพ่อแม่ที่ต้องมีลูกที่มีภาวะความไม่ปกติล่ะ พ่อแม่เหล่านั้นจะรู้สึกอย่างไร
       
       ไม่ต้องแปลกใจเมื่อเวลาเราได้พบเห็นพ่อแม่ที่พยายามต่อสู้ทุกวิถีทางเมื่อรู้ว่าลูกมีปัญหาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คนเป็นพ่อแม่พยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาลูกน้อยให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย หรือต้องใช้เงินทองขนาดไหน ก็พยายามเต็มที่ เพราะหัวใจของคนเป็นพ่อแม่นั่นแหละ
       
       ที่อยากจะพูดถึงในฉบับนี้ คือเด็กพิเศษกลุ่มที่มีภาวะออทิสติก เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ the American Academy of Pediatrics ในสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำแนะนำใหม่ในการตรวจสกรีนออทิซึ่มในเด็กอเมริกันทุกคน ให้ได้รับการตรวจสกรีนรอบแรกในเด็กวัย 18 เดือน และรอบที่สองเมื่อเด็กมีอายุ 2 ขวบ ไม่ว่าจะมีข้อบ่งชี้ใดๆ หรือไม่ ซึ่งบรรจุอยู่ในโปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็กวัย 18-24 เดือน
       
       "ถ้าเราพบปัญหาเร็ว เราก็จะจัดการรักษาได้ก่อน เด็กที่เป็นออทิสติกยิ่งเริ่มการรักษาได้เร็วเท่าไรก็จะยิ่งเป็นผลดี" คำกล่าวของ ดร.สก๊อตต์ เมเยอร์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพัฒนาการทางสมอง
       
       จากข้อมูลของ The U.S. Centers for Disease Control and Prevention พบว่าในเด็กอเมริกัน 150 คน จะพบเด็กเป็นออทิสติก 1 คน หรือไม่ก็อาจพบภาวะผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องจากออทิสติก เช่น แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม ฯลฯ
       
       โดยปกติแล้ว สัญญาณเตือนว่าเด็กอาจมีภาวะออทิสติกคือ พัฒนาการทางการสื่อสารล่าช้า แต่ก็มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า กุมารแพทย์ควรตรวจเช็คในส่วนของ การส่งเสียงอ้อแอ้ด้วยว่ามีไหมหรือว่าไม่ค่อยมี รวมทั้งการที่เด็กไม่ค่อยยิ้ม ยิ้มได้ช้า และไม่ยอมสบตา
       
       "เด็กเล็กและทารกวัยระหว่าง 9-12 เดือน ควรจะตอบสนองต่อเสียงเรียกชื่อโดยการหันมาหาคนเรียก หรือหากให้เด็กมองไปยังอีกมุมหนึ่งของห้องพร้อมทั้งชี้นิ้ว เด็กก็ควรจะทำตามโดยมองไปตามทิศทางที่มือชี้ไป" ดร.เมเยอร์ ยกตัวอย่างการสังเกตความผิดปกติในเด็กเล็ก
       
       และหากตรวจสกรีนพบว่าเด็กมีข้อสงสัยว่าอาจมีภาวะออทิซึ่ม พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรรีบหาวิธีการบำบัดรักษาทันที ในระหว่างที่มีการตรวจวินิจฉัยเพื่อรอคำยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการบำบัดนั้นมีหลายแบบ ผู้เชี่ยวชาญควรจะให้ข้อมูลทั้งหมดและให้คำแนะนำว่าควรจะใช้วิธีการบำบัดแบบใดที่จะเหมาะสมที่สุด
       
       บุคคลออทิสติก คือบุคคลที่แสดงออกซึ่งกลุ่มอาการออทิซึม
       
       กลุ่มอาการออทิซึมเกิดจากความผิดปกติทางสมองและระบบประสาทสัมผัสมาตั้งแต่ก่อนและ/หรือหลังคลอด จากหลายสาเหตุซึ่งอยู่ในระยะค้นคว้าศึกษาถึงปัจจัยของสาเหตุที่แน่นอน ความผิดปกติดังกล่าวทำให้การรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ผิดแผกไปจากคนปกติ ส่งผลให้การประมวลผลข้อมูลในสมองผิดปกติ ทำให้การตอบสนองของเด็กหรือบุคคลออทิสติกก็จะต้องผิดปกติไปจากคนปกติ
       
       ที่ผ่านมาพ่อแม่มักจะสังเกตเห็นอาการผิดปกติของลูกเมื่ออายุ 3 ปีไปแล้ว แต่ในทางการแพทย์ยืนยันว่าถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อายุไม่เกินขวบปีก็สามารถรู้ได้
       
       และข้อบ่งชี้ประการเดียวของพฤติกรรมที่ผิดปกติก็มาจากการสังเกต เพราะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา หรือตรวจรู้ได้ทันทีเหมือนความผิดปกติอื่นๆ เช่น ผู้พิการทางร่างกาย กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม ฯลฯ
       
       เนื่องเพราะรูปลักษณ์ภายนอกทางสรีระร่างกายของเด็กกลุ่มออทิสติกนี้ไม่มีความแตกต่างไปจากเด็กปกติ
       
       เด็กกลุ่มออทิสติกจะแสดงอาการ 3 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้
       
       หนึ่ง - กิจกรรมความสนใจที่ซ้ำๆ ย้ำๆ เช่น เล่นอะไรซ้ำๆ หรือมีกิริยาบางอย่างซ้ำๆ เช่น หมุนวนตัวเอง การเอาวัตถุมาเคาะ เดินเขย่งเท้า วิ่งพล่านไปมาไม่อยู่นิ่ง ชอบทำในสิ่งที่เด็กปกติไม่ทำ ทั้งยังชอบแสงและสนใจวัตถุเคลื่อนไหว หรือหยีตามองแสงอาทิตย์หรือจ้องมองไฟนีออน
       
       กิจกรรมความสนใจเหล่านี้สะท้อนออกซึ่งความผิดปกติ เป็นอันดับแรกที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนและเขาจะไม่สนใจคน ไม่มองหน้าคนอื่น
       
       สอง - สูญเสียทางด้านการสื่อภาษาพูดและความหมาย เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จึงไม่พูด หรือถ้าพูดก็ไม่ชัด ไม่เป็นคำ จะมีภาษาเฉพาะของตัวเอง หรือบางคนพูดได้ชัดเจนดีมาก แต่ก็ไม่รู้ความหมายเป็นเหมือนการสะท้อนเสียงคนแบบนกแก้วเท่านั้น
       
       สาม - การสูญเสียทางด้านสังคม เมื่อไม่รู้ภาษาจึงสื่อความหมายไม่ได้ ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ทางสังคม
       
       ปัญหาของเด็กออทิสติกในบ้านเรายังมีอีกมากมาย ทุกวันนี้แม้จะมีวิวัฒนาการและความรู้ความเข้าใจในเรื่องเด็กออทิสติกมากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัด.....

อ่านข่าวเพิ่มเติม : http://www.manager.co.th/